ในห้วงคำนึงที่จมดิ่ง

  • เรื่องย่อ

    ในห้วงคำนึงที่จมดิ่ง (In the Drowning Depths of Memory) "เมษา" นักไวโอลินสาวผู้มีพรสวรรค์ โลกทั้งใบของเธอคือ "คีตะ" นักเขียนหนุ่มผู้เป็นดั่งลมหายใจและแรงบันดาลใจในทุกท่วงทำนองที่เธอเล่น ทุกบทเพลงที่เธอสรรค์สร้างล้วนมีภาพของเขาซ้อนทับอยู่ ความรักของทั้งสองเปรียบเสมือนบทเพลงที่สมบูรณ์แบบที่สุด... จนกระทั่งวันหนึ่งที่อุบัติเหตุพรากคีตะไปจากเธอชั่วนิรันดร์


ตัวละคร


เมษา (นางเอก): นักไวโอลินผู้เปี่ยมด้วยอารมณ์และความรู้สึกอ่อนไหว โลกของเธอเคยสดใสและเต็มไปด้วยเสียงดนตรีเมื่อมีคีตะอยู่ข้างกาย แต่หลังการจากไปของเขา เธอเปราะบางและยึดติดกับอดีตอย่างเจ็บปวด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโรคที่กำลังพรากความทรงจำสิ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ไป เธอกลายเป็นคนที่สิ้นหวัง ดิ้นรน และจมอยู่กับความสับสนระหว่างโลกจริงกับเศษเสี้ยวความทรงจำที่กำลังเลือนหาย

คีตะ (พระเอก): นักเขียนหนุ่มผู้มีจิตใจอบอุ่นและสุขุม เขาคือศูนย์กลางจักรวาลของเมษา ตัวละครของเขาจะปรากฏผ่าน "ความทรงจำ" ของเมษาเท่านั้น ทำให้ภาพของเขาทั้งชัดเจนและเลือนรางในเวลาเดียวกัน ผู้อ่านจะรักเขาผ่านมุมมองของเมษา และจะเจ็บปวดไปพร้อมกับเธอเมื่อภาพของเขากำลังจะจางหายไป

อร (เพื่อนสนิท/พี่สาวของเมษา): ตัวละครที่เป็นดั่งสมอเรือให้เมษาในโลกความจริง เธอคือคนที่ต้องทนดูเมษาจมดิ่งลงไปในความเศร้า และต้องเจ็บปวดไม่แพ้กันเมื่อต้องเห็นเพื่อนรักค่อยๆ ลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตา เธอคือตัวแทนของความรัก ความห่วงใย และความสิ้นหวังของคนข้างหลังที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

กาแฟที่เย็นชืด

เสียงแรกที่เมษาได้ยินในทุกรุ่งเช้าไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุก แต่เป็นเสียงของความเงียบ มันเป็นความเงียบที่หนักอึ้ง กัดกิน และเย็นเยียบจนจับขั้วหัวใจ เปลือกตาของเธอขยับไหว แต่ยังไม่ยอมเปิดรับแสงสว่างของวันใหม่ มือขวาเอื้อมไปข้างกายตามสัญชาตญาณ คลำหาความว่างเปล่าบนผ้าปูที่นอนที่เย็นชืด

ไม่มีไออุ่นของใครอีกคนอยู่ตรงนั้น... ไม่เคยมีมาตลอดหกเดือนแล้ว

แต่เธอก็ยังทำมันทุกวัน

เมษาลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ผมยาวสยายลงมาปรกใบหน้าที่ซีดเซียว อพาร์ตเมนต์ที่เคยอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพิมพ์ดีดเบาๆ ของคีตะ บัดนี้เหลือเพียงเสียงลมหายใจของเธอที่สะท้อนกับผนังห้องนอนสี่ด้าน เธอก้าวลงจากเตียง เดินไปยังมุมห้องครัวที่คุ้นเคยราวกับคนละเมอ

เครื่องชงกาแฟเริ่มทำงาน ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วห้อง เมษายืนรออย่างอดทน ก่อนจะรินกาแฟดำสนิทลงในแก้วมัคสองใบ... ใบหนึ่งสำหรับเธอ และอีกใบ... สำหรับเขา

เธอนำแก้วทั้งสองไปวางไว้ที่โต๊ะอาหารเล็กๆ ริมหน้าต่าง นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมของเธอ และเลื่อนแก้วของคีตะไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า

"วันนี้ฝนน่าจะตกนะคีตะ" เธอพูดกับความว่างเปล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คุณจะได้ไม่ต้องออกไปไหน... อยู่เขียนหนังสือที่นี่เป็นเพื่อนฉัน"

ไม่มีเสียงตอบกลับมา มีเพียงไอร้อนที่ลอยขึ้นจากแก้วกาแฟของเขาอย่างแผ่วเบา ราวกับเป็นวิญญาณที่กำลังจางหายไป

บทสนทนาฝ่ายเดียวดำเนินต่อไปเหมือนทุกวัน เธอเล่าเรื่องไร้สาระที่พบเจอเมื่อวาน เล่าเรื่องเพื่อนบ้านที่ทะเลาะกันเสียงดัง บ่นเรื่องแมวจรจัดที่ชอบมานอนบนหลังคารถ... เธอพยายามเติมเต็มความเงียบด้วยเสียงของเธอ เพื่อหลอกตัวเองว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม

สายตาของเธอเหลือบไปเห็นซองไวโอลินที่วางพิงผนังห้องอยู่เงียบๆ มันถูกปิดตายมาตั้งแต่วันนั้น... วันที่เสียงดนตรีในชีวิตของเธอหยุดลงพร้อมกับลมหายใจของเขา เธอกลัว... กลัวว่าถ้าได้สัมผัสคันชักอีกครั้ง เสียงที่กรีดออกมาจะไม่ใช่ท่วงทำนอง แต่เป็นเสียงร้องไห้ของหัวใจที่แหลกสลาย

กริ๊ง... กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์ทำลายภวังค์ เมษามองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ‘อร’ พี่สาวของเธอ

"ค่ะพี่อร" เธอกรอกเสียงลงไป พยายามทำให้สดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้

"เม... เป็นยังไงบ้าง" เสียงของอรเต็มไปด้วยความห่วงใยเสมอ "วันนี้ออกมาหาอะไรกินกันข้างนอกไหม พี่เจอร้านเค้กเปิดใหม่ น่าอร่อยมากเลยนะ"

"ไม่ดีกว่าค่ะพี่อร วันนี้เมไม่ค่อยอยากออกไปไหน" เธอปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเหมือนทุกครั้ง

"อีกแล้วนะเม... อยู่แต่ในห้องแบบนั้นมันไม่ดีนะ เราต้อง..."

"เมสบายดีค่ะ" เธอตัดบท "แค่... แค่อยากใช้เวลาเงียบๆ"

ปลายสายถอนหายใจเบาๆ "ก็ได้... แต่ถ้าอยากคุยกับใคร โทรหาพี่ได้ตลอดนะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม"

"ขอบคุณค่ะ"

เมษาวางสายแล้วถอนหายใจยาว เธอรู้ว่าพี่สาวเป็นห่วง แต่คนที่ไม่เคยสูญเสียโลกไปทั้งใบจะเข้าใจความรู้สึกของเธอได้อย่างไร การก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอกที่ไม่มีคีตะอยู่ด้วย มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการขังตัวเองไว้กับเงาของเขาเสียอีก

บ่ายวันนั้น ความรู้สึกอึดอัดก็บีบคั้นเธอจนทนไม่ไหว บางที... การออกไปข้างนอกอาจจะดีกว่า เธอเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าบางๆ เพื่อปกปิดรอยคล้ำใต้ตา แล้วคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกจากห้องไป จุดหมายคือร้านกาแฟเจ้าประจำที่เธอและคีตะชอบไปนั่งทำงานด้วยกัน

บรรยากาศในร้านยังคงเหมือนเดิม กลิ่นกาแฟคั่วผสมกับกลิ่นหนังสือเก่าลอยอบอวล พนักงานสาวยิ้มให้เธออย่างคุ้นเคย

"รับเหมือนเดิมไหมคะคุณเมษา"

"ค่ะ... เหมือนเดิม" เธอยิ้มตอบบางๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะมุมในสุด ที่ประจำของพวกเขา

ไม่นานนัก ลาเต้ร้อนกับอเมริกาโน่เย็นก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอจิบลาเต้ของตัวเอง แล้วมองอเมริกาโน่ของคีตะที่วางอยู่ฝั่งตรงข้าม... วันนี้เธอลืมบอกพนักงานไปว่าเอาแค่แก้วเดียว แต่ก็ช่างเถอะ

เธอนั่งมองผู้คนในร้านไปเรื่อยเปื่อย พยายามนึกถึงภาพของคีตะที่เคยนั่งอยู่ตรงหน้าเขา เขาจะเงยหน้าจากหน้าจอแล็ปท็อปแล้วส่งยิ้มให้เธอเสมอเวลาที่เธอเผลอจ้องเขานานๆ เขามักจะพูดว่า...

เขาจะพูดว่าอะไรนะ...

เมษาขมวดคิ้ว พยายามนึกถึงประโยคติดปากของเขาในสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ที่เธอได้ยินมานับร้อยครั้ง แต่ทำไม... ทำไมตอนนี้นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สมองของเธอขาวโพลนไปชั่วขณะ มีเพียงภาพรอยยิ้มของเขาที่ชัดเจน แต่เสียงของเขากลับเลือนราง

"สงสัยจะเบลอไปหน่อย" เธอพึมพำกับตัวเอง ยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ "คงเพราะนอนไม่พอ"

เธอปัดความคิดนั้นทิ้งไป บอกตัวเองว่ามันเป็นแค่ผลพวงจากความเศร้าและความเหนื่อยล้า แต่ลึกๆ แล้ว... เมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวที่ต่างออกไปได้เริ่มหยั่งรากลงในใจของเธออย่างเงียบเชียบ มันไม่ใช่ความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป

แต่เป็นความกลัว... ว่าวันหนึ่งเธออาจจะลืมเลือนสัมผัสของความทรงจำเหล่านี้ไปจริงๆ

เมษากลับถึงห้องในตอนค่ำ กลิ่นกาแฟยามเช้าของคีตะยังคงติดอยู่ในห้อง แต่ตัวกาแฟในแก้วนั้นเย็นชืดไปนานแล้ว เธอยืนมองรูปถ่ายของเขาที่หัวเตียง รูปที่เขากำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ดวงตาเป็นประกายสดใส

"เมจะไม่มีวันลืมคุณ... ไม่มีวัน" เธอกระซิบสัญญากับรูปถ่าย สัมผัสกรอบรูปเย็นๆ ราวกับจะย้ำเตือนตัวเอง

คืนนั้น... เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือน ที่เมษาตัดสินใจเดินไปหยิบซองไวโอลินขึ้นมา นิ้วที่สั่นเทาค่อยๆ รูดซิปเปิดออก กลิ่นไม้และยางสนที่คุ้นเคยโชยเข้าจมูก เธอยกเครื่องดนตรีคู่ใจขึ้นมาแนบไหล่...

อย่างน้อย... หากวันหนึ่งสมองของเธอจะทรยศเธอ...

ขอให้บทเพลงของพวกเขา... ยังคงนำทางเธอผ่านความมืดมิดนี้ไปได้

ทำนองที่ไม่สมบูรณ์

ความเย็นเยียบของไม้ไวโอลินที่แนบกับต้นคอและกระดูกไหปลาร้าคือความรู้สึกที่คุ้นเคยจนน่าใจหาย มันเหมือนการได้พบกับส่วนหนึ่งของร่างกายที่พลัดพรากจากกันไปนาน นิ้วมือข้างซ้ายที่สั่นเทาของเมษาค่อยๆ กดลงบนสายอย่างไม่มั่นคง คันชักในมือขวาขยับฝืดเฝือ

เสียงแรกที่กรีดผ่านความเงียบของห้องออกมานั้นหยาบกระด้างและเพี้ยนแปร่ง มันเป็นเสียงที่บาดหูราวกับเสียงกรีดร้อง เมษาสะดุ้ง ชักคันชักกลับทันทีราวกับถูกของร้อน ความล้มเหลวในโน้ตตัวแรกนั้นเป็นเหมือนการตอกย้ำ... ว่าเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างที่เคยประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตของเธอ บัดนี้มันพังทลายและไม่สมบูรณ์

เธอหลับตาลงแน่น พยายามขับไล่ความผิดหวังออกไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ได้นึกถึงบทเพลงคลาสสิกที่ต้องใช้เทคนิคแพรวพราว แต่เธอปล่อยให้หัวใจนำทาง... ไปสู่ท่วงทำนองเดียวที่สำคัญที่สุดในตอนนี้

ทำนองแห่งคำนึง... บทเพลงที่เธอเคยแต่งให้คีตะ

โน้ตตัวแรก ตัวที่สอง ตัวที่สาม... ค่อยๆ เรียงร้อยต่อกันอย่างเชื่องช้า แม้มันจะไม่นุ่มนวลเหมือนเก่า แต่ความทรงจำในกล้ามเนื้อของเธอก็ยังคงทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ และทันทีที่เสียงดนตรีเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่าง โลกปัจจุบันที่มืดมนของเธอก็พลันสลายไป...

ภาพความทรงจำฉายชัดขึ้นมาในหัว... แสงแดดยามเย็นสีทองส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนั่งเล่น ฝุ่นละอองเล็กๆ ลอยล่องอยู่ในลำแสงนั้นราวกับกำลังเต้นระบำ คีตะนั่งอยู่บนโซฟาตัวเก่า วางต้นฉบับในมือลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก

"เพราะจังเลยเม" เขาพูดขึ้นหลังจากที่เธอเล่นโน้ตตัวสุดท้ายจบลง "มันเหมือน... ไม่ใช่แค่เพลงนะ แต่มันเหมือนการสนทนาระหว่างคนสองคนที่ไม่ต้องใช้คำพูดเลย"

เมษายิ้มเขิน "จริงเหรอคะ ฉันกลัวว่ามันจะเศร้าเกินไป"

คีตะส่ายหน้าช้าๆ "ไม่เลย มันไม่ได้เศร้า... มันลึกซึ้งต่างหาก มันเหมือนความคะนึงหา... เหมือนการย้ำเตือนว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็ยังมีท่วงทำนองนี้ที่เชื่อมเราไว้ด้วยกัน" เขาเดินเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง วางคางลงบนไหล่ของเธอเบาๆ "เราเรียกมันว่า 'ทำนองแห่งคำนึง' ดีไหม"

ภาพความจริงที่โหดร้ายกระแทกกลับเข้ามา เมษายืนอยู่กลางห้องที่เย็นเฉียบตามลำพัง น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ยังคงบรรเลงบทเพลงนั้นต่อไปจนจบโน้ตตัวสุดท้าย เสียงไวโอลินที่สั่นเครือค่อยๆ เงียบลง เหลือเพียงเสียงสะอื้นของเธอที่ดังอยู่ในความเงียบ

การเล่นดนตรีในครั้งนี้ไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง แต่มันมอบบางสิ่งบางอย่างให้เธอ... มันคือ "เป้าหมาย"

จากนี้ไป เธอจะไม่ใช่แค่การจมอยู่กับความทรงจำเฉยๆ แต่เธอจะ "ต่อสู้" เพื่อรักษามันไว้ เธอจะเล่นเพลงนี้ทุกวัน เธอจะเขียนไดอารี่ บันทึกทุกเรื่องราวของคีตะที่เธอยังจำได้ลงไปทุกตัวอักษร เธอจะสร้างกำแพงแห่งความทรงจำขึ้นมาล้อมรอบตัวเอง ป้องกันไม่ให้มันถูกกาลเวลาหรือสิ่งใดก็ตามพรากไปจากเธอได้อีก

วันรุ่งขึ้น ด้วยความรู้สึกที่มุ่งมั่นกว่าเดิม เมษาตัดสินใจทำในสิ่งที่เธอหลีกเลี่ยงมาตลอดหกเดือน... นั่นคือการจัดการของใช้ส่วนตัวของคีตะ เธอเริ่มต้นที่โต๊ะทำงานของเขา ที่ซึ่งทุกอย่างยังคงวางอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนวันที่เขาจากไป

หัวใจของเธอเต้นแรงเมื่อเปิดหน้าจอแล็ปท็อปของเขาขึ้นมา แสงสว่างจากหน้าจอขับไล่ความมืดในห้องออกไป เธออยากอ่านงานเขียนของเขาที่ยังเขียนไม่จบ อยากได้ยินเสียงของเขาผ่านถ้อยคำเหล่านั้นอีกครั้ง

แต่หน้าจอกลับปรากฏช่องให้ใส่รหัสผ่าน...

เมษาหายใจเข้าลึกๆ "ไม่เป็นไร... ต้องเป็นวันครบรอบของเราแน่ๆ" เธอพิมพ์ตัวเลขลงไป... ผิดพลาด

"หรือว่า... วันเกิดฉัน?" เธอพิมพ์ชุดตัวเลขใหม่อีกครั้ง... ผิดพลาด

เธอไล่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่วันเกิดของเขา ชื่อน้องหมาตัวแรกที่เขาเคยเลี้ยง ชื่อเล่นที่เขาใช้เรียกเธอ... แต่ไม่มีรหัสไหนถูกต้องเลย

และแล้วเธอก็นึกขึ้นได้... มันต้องเป็นรหัสผ่านสำหรับไฟล์ส่วนตัวของเขาแน่ๆ มันไม่ใช่ตัวเลข แต่เป็นคำ... เป็นคำที่มาจากเรื่องตลกส่วนตัวของพวกเขาสองคน เป็นคำที่ไม่มีใครในโลกรู้ เป็นคำที่เธอเคยพิมพ์มันนับครั้งไม่ถ้วนเวลาที่เขาให้ช่วยเปิดไฟล์งานให้

เธอวางนิ้วลงบนแป้นพิมพ์... และก็นิ่งค้างไป

สมองของเธอว่างเปล่า...

ไม่ใช่การนึกไม่ออกแบบเลือนรางเหมือนตอนอยู่ที่ร้านกาแฟ แต่มันคือความว่างเปล่าที่แท้จริง เหมือนมีกำแพงหนาทึบมากั้นขวางเอาไว้ เธอรู้ว่าเธอเคยรู้คำๆ นั้น แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว หายไปจากสมองของเธออย่างไร้ร่องรอย

"ไม่... ไม่จริง" เธอพึมพำกับตัวเอง เหงื่อเย็นๆ เริ่มผุดขึ้นตามไรผม "ต้องนึกออกสิ... มัน... มันคือคำว่า..."

ความตื่นตระหนกเริ่มเข้าครอบงำ เธอลองพิมพ์ทุกคำที่พอจะนึกออกลงไปอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่รุนแรงยิ่งกว่าความโศกเศร้า นี่ไม่ใช่การสูญเสียเขาไปเพราะอุบัติเหตุอีกแล้ว แต่นี่คือการสูญเสียเขาไปเพราะความผิดพลาดของตัวเธอเอง... เพราะสมองที่กำลังทรยศเธอ

หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง เธอก็ยอมแพ้

เมษาทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง เหม่อมองหน้าจอแล็ปท็อปที่ตอนนี้เข้าสู่โหมดพักหน้าจอ... ภาพที่ปรากฏขึ้นคือภาพถ่ายของเธอกับคีตะในวันไปเที่ยวทะเล เขากำลังโอบไหล่เธอ ทั้งสองคนยิ้มกว้างให้กล้องอย่างมีความสุขที่สุดในโลก

ภาพนั้น... ที่เคยเป็นดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ บัดนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่เยาะเย้ยเธออย่างเจ็บปวดที่สุด

รอยยิ้มในภาพคือเครื่องยืนยันถึงความทรงจำที่พวกเขาเคยมีร่วมกัน แต่ตอนนี้... กุญแจดอกสำคัญที่จะไขเข้าไปสู่โลกใบนั้นของเขา... ได้หายไปจากสมองของเธอแล้ว

ไวโอลินที่วางอยู่ข้างกายดูเหมือนจะเป็นเพียงอาวุธที่บอบบางเหลือเกินในการต่อสู้ครั้งนี้ ความกลัวที่เคยเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์เล็กๆ บัดนี้ได้เติบโตและหยั่งรากลึกลงในใจของเธอแล้วจริงๆ

รอยร้าวบนนาฬิกา

ความพ่ายแพ้ต่อหน้าจอแล็ปท็อปทิ้งให้เมษาจมอยู่ในความสับสนและความหวาดระแวงไปหลายวัน อพาร์ตเมนต์ที่เคยเป็นหลุมหลบภัย บัดนี้กลายเป็นเหมือนคุกที่คุมขังเธอไว้กับความบกพร่องของตัวเอง เธอกลายเป็นคนขี้ลืมอย่างเห็นได้ชัด วางกุญแจไว้ผิดที่ ลืมปิดเตาแก๊ส หรือบางครั้งก็เดินเข้าห้องมาแล้วหยุดนิ่งอยู่กลางห้อง... จำไม่ได้ว่าตั้งใจจะเข้ามาทำอะไร

ทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ความเย็นเยียบจะแล่นจับขั้วหัวใจ เธอกลายเป็นคนหวาดกลัวสมองของตัวเอง

เธอพยายามต่อสู้ในแบบของเธอ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มหนาของคีตะที่เขาเคยใช้ร่างนิยายออกมา แล้วเริ่มเขียน... เขียนทุกอย่างที่เธอยังจำได้เกี่ยวกับเขา ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยที่สุดอย่างวิธีที่เขาชอบขมวดคิ้วเวลาใช้ความคิด ไปจนถึงเรื่องราวใหญ่ๆ อย่างคำขอแต่งงานที่แสนเรียบง่ายแต่กลับตราตรึงใจบนดาดฟ้าของอพาร์ตเมนต์แห่งนี้

ตัวอักษรของเธอสั่นเทาและรีบร้อน เหมือนกำลังวิ่งแข่งกับเวลาที่มองไม่เห็น

จนกระทั่งวันหนึ่งที่อรมาหาที่ห้องโดยไม่ได้นัดหมาย เธอใช้กุญแจสำรองไขเข้ามาและพบกับภาพที่ทำให้ใจหายวาบ... เมษานั่งอยู่บนพื้นห้อง ล้อมรอบไปด้วยกระดาษโน้ตที่แปะอยู่เต็มผนัง บนกระดาษเหล่านั้นมีทั้งประโยคบอกเล่าสั้นๆ ไทม์ไลน์ความสัมพันธ์ และแผนผังความคิดที่ยุ่งเหยิงราวกับแผนสืบสวนคดีฆาตกรรม น้องสาวของเธอดูอิดโรยและสับสน ดวงตาแดงก่ำ

"เม... นี่มันอะไรกัน" อรเอ่ยถามเสียงสั่น

เมษาเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวด้วยแววตาของคนที่ใกล้จะแตกสลาย "พี่อร... เมกำลังจะลืมเขาสิ้นเชิงแล้ว" เธอพูดเสียงเครือ "เมจำรหัสผ่านคอมของเขาไม่ได้ เมจำชื่อหนังสือเล่มโปรดของเขาไม่ได้... มันเหมือน... เหมือนมีคนเอายางลบมาลบเขาออกไปจากหัวของเมทีละนิด... ทีละนิด"

ในที่สุดกำแพงที่เธอก่อขึ้นก็พังทลายลง เมษาระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น อรดึงร่างที่สั่นเทาของน้องสาวเข้ามากอดไว้แน่น หัวใจของเธอปวดร้าวไปหมด

"พอแล้วเม... พอแล้ว" อรลูบหลังน้องสาวเบาๆ "เราต้องไปหาหมอ"

คำว่า "หมอ" ทำให้เมษาผละออกจากอ้อมกอด "ไม่! เมไม่ได้เป็นอะไร เมแค่... แค่เสียใจมากไปหน่อย"

"นี่มันไม่ใช่แค่ความเสียใจแล้วเม" อรจับไหล่น้องสาวแน่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่หวาดกลัว "การลืมเรื่องสำคัญแบบนี้มันไม่ปกติ เราต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น... พี่จะไม่ยอมให้น้องเป็นแบบนี้"

ความหนักแน่นของพี่สาวทำให้เมษาหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

โรงพยาบาลมีกลิ่นของยาฆ่าเชื้อที่ทำให้รู้สึกห่างเหินและเย็นชา เมษาและอรนั่งอยู่ตรงข้ามกับนายแพทย์วัยกลางคนผู้มีแววตาใจดีแต่ก็ดูจริงจัง หลังจากที่อรเล่าอาการทั้งหมดให้ฟัง คุณหมอก็หันมาทางเมษา

"เดี๋ยวเราจะลองทดสอบความจำเบื้องต้นกันหน่อยนะครับ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ไม่ต้องกังวลนะครับ ทำเท่าที่ทำได้ก็พอ"

การทดสอบเริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ เขาให้เธอจดจำคำศัพท์สามคำ... "แม่น้ำ, รถไฟ, เก้าอี้" แล้วพูดคุยเรื่องอื่นไปสักพัก ก่อนจะวนกลับมาถามคำศัพท์เหล่านั้นอีกครั้ง... เมษาจำได้แค่คำว่า "แม่น้ำ" คำเดียว

คุณหมอให้เธอลบเลขเจ็ดออกจากหนึ่งร้อยไปเรื่อยๆ... เธอทำได้แค่สองครั้งก่อนจะเริ่มสับสน

และสิ่งที่น่าอัปยศที่สุดก็มาถึง... เขาให้กระดาษเปล่ากับดินสอ แล้วบอกว่า "ช่วยวาดรูปนาฬิกา เข็มชี้ไปที่เวลาสิบเอ็ดโมงสิบนาทีให้หน่อยครับ"

เมษา... นักไวโอลินที่เคยจดจำโน้ตเพลงยาวหลายสิบหน้าได้อย่างแม่นยำ... บัดนี้กลับทำได้แค่วาดวงกลมที่บูดเบี้ยว แล้ววางตัวเลขทั้งหมดไปกองรวมกันอยู่ฝั่งขวาของหน้าปัดอย่างผิดที่ผิดทาง เธอมองภาพวาดในมือตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง น้ำตาแห่งความอับอายคลอหน่วยขึ้นมา

หลังจากนั้นคือการเจาะเลือดและนัดทำ MRI สแกนสมอง คุณหมอไม่ได้วินิจฉัยอะไรในวันนั้น แต่แววตาของเขาก็ฉายแววกังวลอย่างชัดเจน เขาเพียงแต่พูดว่า "เราพบภาวะการถดถอยของกระบวนการรับรู้ที่น่าเป็นห่วง คงต้องรอผลตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง"

คำพูดที่เป็นทางการเหล่านั้นฟังดูน่ากลัวยิ่งกว่าคำพูดตรงๆ เสียอีก

ระหว่างทางกลับบ้าน เมษานั่งนิ่งเงียบเหมือนรูปปั้น เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างไร้ความรู้สึก

"มันก็แค่ความเครียดนั่นแหละพี่อร" จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาลอยๆ "นอนพักให้พอ เดี๋ยวทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม" เธอพูดราวกับจะพยายามสะกดจิตตัวเอง

อรไม่ได้พูดอะไร เธอทำได้เพียงบีบมือน้องสาวที่เย็นเฉียบเอาไว้แน่น ในใจของเธอไม่ได้มีแค่ความสงสาร แต่มีความโกรธ... โกรธโชคชะตาที่พรากคีตะไป แล้วยังกำลังจะพรากความทรงจำเกี่ยวกับเขาไปจากน้องสาวของเธออีก ราวกับจะลบการมีตัวตนของความรักครั้งนี้ให้หายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์

คืนนั้นเมษากลับมาที่ห้องของเธอ... ที่ที่ตอนนี้ไม่เหมือนบ้านอีกต่อไป แต่เหมือนสมรภูมิรบ

แล็ปท็อปของคีตะยังคงวางอยู่ที่เดิมเหมือนเป็นอนุสาวรีย์แห่งความล้มเหลวของเธอ แต่ตอนนี้เธอไม่ได้มองมันแล้ว สายตาของเธอจับจ้องไปที่ไวโอลิน

เธออุ้มมันขึ้นมา กอดมันไว้แนบกับอกเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต... สิ่งเดียวที่ยังเชื่อมโยงเธอกับเขาได้ เธอยกมันขึ้นมาแนบไหล่ แต่ไม่ได้หยิบคันชักขึ้นมาสี...

เธอทำเพียงแค่ฮัมเพลง...

เสียงฮัมเพลง 'ทำนองแห่งคำนึง' ดังแผ่วเบาและสั่นเครือในความมืด มันไม่ใช่การบรรเลงเพื่อรำลึกถึงความหลังอีกต่อไป... แต่เป็นการสวดภาวนาอย่างสิ้นหวัง... เป็นการต่อต้านเฮือกสุดท้ายต่อคำวินิจฉัยที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังคืบคลานเข้ามาในชีวิตของเธออย่างช้าๆ และไม่อาจหยุดยั้งได้

คำพิพากษาที่มองไม่เห็น

ช่วงเวลาแห่งการรอคอยผลตรวจคือการทรมานที่เงียบงันที่สุด เมษาใช้ชีวิตเหมือนเทียนที่ใกล้จะหมดไส้ แสงสว่างริบหรี่ลงทุกขณะ เธอหมกมุ่นอยู่กับการ "ฝึกซ้อม" ความทรงจำอย่างเอาเป็นเอาตาย

เธอเล่นไวโอลินทุกวัน ไม่ใช่เพื่อความสุนทรีย์ แต่เพื่อบังคับให้สมองและกล้ามเนื้อทำงานประสานกัน เธอท่องชื่อบทเพลงคลาสสิกที่เคยเล่นได้ทั้งหมดราวกับกำลังท่องบทสวดมนต์ และสมุดบันทึกเรื่องราวของคีตะก็ถูกเขียนจนหมึกหมดไปด้ามแล้วด้ามเล่า มันคือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของคนที่กำลังจะจมน้ำ พยายามตะเกียกตะกายคว้าเศษฟางที่ลอยอยู่ตรงหน้า

แต่รอยรั่วของเรือความทรงจำก็ใหญ่เกินกว่าจะอุดได้ไหว...

บ่อยครั้งขึ้นที่เธอยืนอยู่หน้าตู้เย็น แต่จำไม่ได้ว่าเปิดมันเพื่อจะหยิบอะไร เธอโทรศัพท์หาอรเพื่อจะเล่าเรื่องสำคัญ แต่กลับลืมเรื่องที่จะเล่าไปเสียดื้อๆ กลางบทสนทนา ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น โลกของเธอจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ ความเงียบจะเข้ามาแทนที่ และความจริงที่น่าสะพรึงกลัวก็จะตบหน้าเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

และแล้ว วันพิพากษาก็มาถึง...

เมษาและอรนั่งอยู่ในห้องตรวจเดิม บรรยากาศในวันนี้หนักอึ้งกว่าครั้งก่อนหลายเท่า คุณหมอวางฟิล์มสแกนสมองของเธอลงบนกล่องไฟ แสงสว่างวาบขึ้นเผยให้เห็นภาพสมองในโทนสีขาวดำ

"จากผลการตรวจทั้งหมด... ทั้งการทดสอบกระบวนการรับรู้, ผลเลือด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพสแกนสมอง..." คุณหมอเว้นจังหวะไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวคำที่เปลี่ยนชีวิตของเมษาไปตลอดกาล "...เราวินิจฉัยได้ว่าคุณเมษามีภาวะสมองเสื่อมชนิด Frontotemporal Dementia หรือ FTD ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้น้อย และมักเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี"

คำศัพท์ทางการแพทย์เหล่านั้นลอยวนอยู่ในหัวของเมษา แต่เธอยังไม่เข้าใจความหมายของมันทั้งหมด

"มัน... ร้ายแรงแค่ไหนคะ" อรเป็นคนถามขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นพร่า

คุณหมอมองมาที่พวกเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความเห็นใจ "โรคนี้เป็นโรคที่เซลล์สมองจะค่อยๆ เสื่อมและฝ่อลงไปเรื่อยๆ ครับ... และน่าเสียใจที่ปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ การรักษาที่เราทำได้คือการใช้ยาเพื่อชะลออาการและประคับประคองคุณภาพชีวิตให้ได้นานที่สุด"

เขาชี้ไปที่จุดที่เป็นเงาดำบนฟิล์มสแกน "บริเวณนี้คือสมองส่วนหน้าและส่วนขมับที่เริ่มฝ่อลงไป มันจะส่งผลกระทบต่อความจำ, การใช้ภาษา, การตัดสินใจ และท้ายที่สุดคือบุคลิกภาพและพฤติกรรม"

โลกทั้งใบของเมษาดับวูบลง ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดเข้ามาในหูอีกต่อไป เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงวิญญาณที่ลอยออกจากร่าง มองดูผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเธอกำลังรับฟังคำพิพากษาถึงวาระสุดท้ายของตัวตน

เธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้กรีดร้อง เธอแค่รู้สึกชาไปทั้งตัว

"ฉัน... จะลืมวิธีเล่นไวโอลินไหมคะ" นั่นคือคำถามแรกที่หลุดออกจากปากของเธอ เสียงของมันเบาหวิวราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง

"ในระยะยาว... มีความเป็นไปได้สูงครับ" คุณหมอตอบตามตรง

ความเงียบเข้าครอบงำไปชั่วขณะ ก่อนที่เมษาจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดถามคำถามที่เธอหวาดกลัวที่สุดออกมา "แล้ว... นานแค่ไหนคะ... กว่าที่ฉันจะจำ... เขา... ไม่ได้เลย"

คำถามนั้นทำให้หัวใจของอรแทบสลาย คุณหมอนิ่งไปอึดใจหนึ่ง "เรื่องนี้ตอบได้ยากมากครับ แต่โรคนี้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ความทรงจำล่าสุดมักจะหายไปก่อน... ส่วนความทรงจำที่ฝังใจในอดีตอาจจะยังคงอยู่ได้นานกว่า"

การเดินทางกลับบ้านในวันนั้นเงียบงันยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ อรทำได้เพียงขับรถไปข้างหน้าโดยมีน้ำตาคลอหน่วย ส่วนเมษาก็เอาแต่มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว... รวดเร็วเหมือนกับเวลาในชีวิตของเธอที่กำลังจะหมดลง

เมื่อกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ ความจริงก็ถาโถมเข้าใส่เธออย่างรุนแรง

เธอมองทุกสิ่งทุกอย่างในห้อง... รูปถ่ายของคีตะ, ไวโอลิน, สมุดบันทึก... ของเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องมือแห่งความทรงจำอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือ "วัตถุพยาน" ของชีวิตที่กำลังจะถูกลบเลือน การแข่งขันกับเวลาไม่ใช่แค่ความรู้สึกอีกต่อไป แต่มันคือความจริงทางการแพทย์ที่เธอไม่มีวันเอาชนะได้

ความสิ้นหวังแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ... โกรธโชคชาตา... โกรธร่างกายของตัวเอง

แล้วจะพยายามไปเพื่ออะไร? เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัว จะจดจำไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายทุกอย่างก็จะกลายเป็นศูนย์?

ความคิดนั้นทำให้เธออยากจะปาไวโอลินทิ้ง อยากจะฉีกสมุดบันทึกทุกหน้าให้แหลกละเอียด...

แต่เธอก็ไม่ได้ทำ

อรเดินเข้ามายื่นแก้วน้ำอุ่นๆ ให้เธอด้วยมือที่สั่นเทา เมษารับมันมาถือไว้ แล้วหันไปมองพี่สาว ดวงตาของเธอที่เคยสับสนและหวาดกลัว บัดนี้กลับนิ่งสงบอย่างน่าประหลาด... มันไม่ใช่ความสงบของคนที่ยอมแพ้ แต่เป็นความสงบของคนที่ตัดสินใจอะไรบางอย่างได้อย่างเด็ดเดี่ยวแล้ว

เธอเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของคีตะ มองหน้าจอแล็ปท็อปที่มืดสนิทเครื่องนั้น... เครืองที่เก็บงำความทรงจำส่วนหนึ่งของเขาไว้และปฏิเสธที่จะให้เธอย่างกรายเข้าไป

"เม... จะทำอะไร" อรถามด้วยความไม่แน่ใจ

เมษาไม่ได้ตอบ เธอหันไปหยิบที่ทับกระดาษแก้วซึ่งทำเป็นรูปทรงภูเขาที่คีตะชอบขึ้นมาถือไว้ในมือ น้ำหนักของมันให้ความรู้สึกหนักแน่น

แล้วเธอก็หันกลับมามองอรด้วยแววตาที่แน่วแน่ "ในเมื่อเมเข้าไปในความทรงจำของเขาอีกไม่ได้แล้ว..."

เธอหยุดพูดไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว

"...เมก็คงต้องเอาความทรงจำทั้งหมดในหัวของเมออกมา... ก่อนที่มันจะไม่มีอะไรเหลือให้เอาออกมาอีกต่อไป"

มันคือคำประกาศสงครามครั้งสุดท้าย... สงครามที่เธอรู้ดีว่าจะต้องพ่ายแพ้ แต่เธอก็จะขอสู้... เพื่อสร้างอนุสรณ์สถานแห่งความรักของพวกเขาขึ้นมาจากเศษซากความทรงจำที่กำลังแตกสลายของเธอเอง

พิพิธภัณฑ์ที่กำลังเลือนหาย

คำประกาศสงครามของเมษาไม่ได้จบลงด้วยเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราด แต่เริ่มต้นขึ้นในความเงียบงันของวันต่อมา อพาร์ตเมนต์ของเธอถูกเปลี่ยนสภาพจากที่อยู่อาศัยให้กลายเป็น "ห้องเก็บเอกสารความทรงจำ"

ผนังห้องที่เคยว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยกระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่และกระดาษโพสต์อิทหลากสีสัน บนนั้นเต็มไปด้วยไทม์ไลน์ความสัมพันธ์ที่ขีดเขียนอย่างยุ่งเหยิง, แผนผังเชื่อมโยงผู้คนและสถานที่, และรูปถ่ายที่ถูกแปะไว้พร้อมคำบรรยายสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือสั่นเทาของเธอ อรกลายเป็นผู้ช่วยและภัณฑารักษ์โดยสมบูรณ์ เธอช่วยซื้ออุปกรณ์ จัดการไฟล์ดิจิทัล และคอยเป็นเหมือนหน่วยความจำสำรองให้กับน้องสาว

"จำทริปเชียงใหม่ครั้งนั้นได้ไหมเม ที่เราไปแล้วฝนตกหนักจนต้องติดอยู่ในร้านกาแฟทั้งวัน" อรเอ่ยขึ้นขณะช่วยติดรูปถ่ายใบหนึ่ง

เมษาหรี่ตามองภาพนั้น "จำได้... วันนั้นคีตะเล่านิทานเรื่องต้นไม้พูดได้ให้ฟัง... เขาแต่งสดๆ เลย" รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์

วันเวลาของเมษาถูกแบ่งออกเป็น "วันที่ดี" และ "วันที่เลวร้าย" อย่างชัดเจน

ในวันที่ดี... ความทรงจำจะไหลลื่นราวกับสายน้ำ เธอจะนึกถึงเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยหลงลืมไปได้ เช่น กลิ่นแชมพูที่คีตะชอบใช้ หรือเสียงผิวปากเพี้ยนๆ ของเขาเวลาที่อารมณ์ดี เธอจะหัวเราะไปพร้อมกับอรขณะบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นลงในคอมพิวเตอร์ วันเหล่านั้นเปรียบเสมือนแสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องลอดผ่านม่านเมฆอันมืดครึ้มเข้ามา ทำให้เธอยังพอมีความหวังอยู่บ้าง

แต่ในวันที่เลวร้าย... หมอกหนาทึบจะเข้าปกคลุมสมองของเธอ และมันมาพร้อมกับอาการใหม่ที่น่าหวาดกลัว... การสูญเสียการใช้ภาษา

"พี่อร... ช่วยหยิบ... เอ่อ... ที่มันเป็นแท่งๆ... เอาไว้เขียน... สีดำๆ นั่นให้หน่อย" เมษากล่าวขึ้นในบ่ายวันหนึ่งขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เธอชี้ไปยังปากกาที่วางอยู่ไม่ไกล แต่คำว่า "ปากกา" กลับหายไปจากคลังศัพท์ในสมองของเธอ

อรนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหยิบปากกาส่งให้ "นี่จ้ะ"

เมษารับมันมาด้วยสีหน้าที่สับสนและเจ็บปวด เธอรู้ว่ามันคืออะไร แต่คำเรียกของมันกลับติดอยู่ที่ปลายลิ้น... เหมือนมีกำแพงใสๆ มากั้นไว้ ความคับข้องใจฉายชัดขึ้นในดวงตาของเธอ การสูญเสียความทรงจำว่าแย่แล้ว แต่การสูญเสีย "คำ" ที่จะใช้อธิบายโลกและเรื่องราวของเธอ... มันคือการถูกพรากอาวุธชิ้นสำคัญที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้ไป

วันหนึ่ง ขณะที่พวกเธอกำลังจัดของในตู้หนังสือของคีตะ อรก็ไปเจอกล่องรองเท้าเก่าๆ ใบหนึ่งที่ถูกซุกไว้ด้านในสุด เมื่อเปิดออกดูก็พบว่ามันไม่ใช่รองเท้า แต่เป็นคลังสมบัติเล็กๆ ของคีตะ

ข้างในนั้นมีตั๋วหนังเรื่องแรกที่พวกเขาดูกัน, ดอกเดซี่แห้งๆ จากช่อดอกไม้ช่อแรกที่เขามอบให้เธอ, ใบเสร็จจากร้านอาหารในวันครบรอบปีแรก และที่ก้นกล่อง... มีกระดาษเช็ดปากแผ่นหนึ่งที่ถูกพับไว้อย่างดี บนนั้นมีลายมือของคีตะเขียนบทกลอนสั้นๆ ไว้

แด่ท่วงทำนองของฉัน... หากเสียงของโลกเงียบงัน... โปรดบรรเลงต่อไป... เพราะในเสียงไวโอลินของเธอ... ฉันยังคงอยู่ที่นั่นเสมอ

น้ำตาของเมษาไหลออกมาทันทีที่ได้อ่าน มันคือหลักฐานที่จับต้องได้ว่าเขาเองก็พยายามเก็บรักษาความทรงจำของพวกเขาไว้ไม่ต่างกัน เขาคือภัณฑารักษ์คนแรกของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ความรักของเขาปรากฏเป็นรูปธรรมผ่านสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ และมันก็ยิ่งทำให้การสูญเสียของเธอเจ็บปวดมากขึ้นเป็นทวีคูณ

คืนนั้น... หลังจากที่อรกลับไปแล้ว เมษานั่งอยู่กลางห้องที่ตอนนี้ดูไม่ต่างจากพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวที่กำลังจะปิดตาย แสงไฟจากโคมไฟดวงเล็กส่องกระทบกระดาษโน้ตและรูปภาพบนผนังราวกับเป็นภาพฝันที่กำลังจะเลือนลาง

ในมือของเธอถือกระดาษเช็ดปากแผ่นนั้นไว้ เธอยกโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะอัดเสียงตัวเองอ่านบทกลอนของเขาเก็บไว้เป็นอีกหนึ่งไฟล์ความทรงจำ

"แด่... ท่วงทำนองของ... ของ..." เธอเริ่มอ่าน แต่แล้วก็ชะงักไป คำว่า "ฉัน" ที่แสนธรรมดากลับติดอยู่ในลำคอ พูดออกมาไม่ได้ เธอพยายามอีกครั้ง แต่สมองก็ยังคงปฏิเสธที่จะส่งคำสั่งนั้นออกมา

ความรู้สึกพ่ายแพ้ถาโถมเข้าใส่จนเธออยากจะขยำกระดาษในมือทิ้ง

แต่แล้วเธอก็วางมันลง... แล้วหันไปหยิบไวโอลินขึ้นมาแทน

เธอมองบทกลอนที่เขาเขียน... มองตัวอักษรที่เธอไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้อีกต่อไป แล้วเธอก็เริ่มบรรเลง

มันไม่ใช่ 'ทำนองแห่งคำนึง' และไม่ใช่บทเพลงใดๆ ที่เธอเคยเล่นมาก่อน มันคือเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นสดๆ ในวินาทีนั้น... ท่วงทำนองที่แปลความรู้สึกของบทกลอน, แปลความรักที่ยังคงท่วมท้นอยู่ในใจ และแปลความเจ็บปวดรวดร้าวจากการสูญเสียคำพูด... ออกมาเป็นเสียงเพลง

เสียงไวโอลินในคืนนั้นไม่ได้ไพเราะสมบูรณ์แบบ มันขาดๆ หายๆ โหยหวน และสั่นเครือ... แต่มันคือภาษาเดียวที่เธอยังคงพูดได้อย่างหมดหัวใจ

มันคือเสียงร่ำไห้... ให้กับทุกถ้อยคำและความทรงจำที่ได้สูญเสียไปแล้ว... ตลอดกาล

คนแปลกหน้าในไดอารี่

กิจวัตรในแต่ละวันของเมษาไม่ได้เริ่มต้นด้วยกาแฟอีกต่อไปแล้ว แต่เริ่มต้นด้วยการ "ทบทวนบทเรียน" เธอลืมตาขึ้นมาแล้วจะใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเดินอ่านข้อมูลบนผนังห้องราวกับเป็นนักเรียนที่กำลังจะเข้าห้องสอบ เธอไล่อ่านไทม์ไลน์ความสัมพันธ์ อ่านชื่อสถานที่ อ่านคำบรรยายใต้ภาพถ่าย... มันคือการพยายามตอกย้ำตัวตนของ "เมษา" คนเก่าเข้าไปในสมองที่กำลังผุร่อนของเธอทุกเช้า

วันนี้ เธอยังรู้สึกว่าสมองปลอดโปร่งเป็นพิเศษ มันคือ "วันที่ดี" เธอจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ท้าทายกว่านั้น... คือการอ่านสมุดบันทึกที่เธอเขียนมันขึ้นมากับมือ

เธอนั่งลงบนพื้นห้อง เปิดไดอารี่เล่มหนาที่เต็มไปด้วยลายมือของตัวเองอย่างบรรจง นิ้วของเธอไล่ไปตามสารบัญที่อรช่วยทำไว้ให้ ก่อนจะไปหยุดที่หัวข้อหนึ่งที่เธอตั้งใจเขียนมันไว้อย่างงดงามที่สุด... "วันที่ดาวตกดิน"

มันคือวันที่คีตะขอเธอแต่งงาน

ลมหายใจของเธอติดขัดเล็กน้อยด้วยความคาดหวัง เธออยากจะรู้สึก... อยากจะสัมผัสความสุขล้นปรี่ในวันนั้นอีกสักครั้งเพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ เธอเริ่มอ่านออกเสียงเบาๆ ราวกับจะเล่านิทานให้ตัวเองฟัง

"...คืนนั้นอากาศดีอย่างไม่น่าเชื่อ คีตะชวนฉันขึ้นไปบนดาดฟ้า เขาบอกว่าอยากจะดูดาวด้วยกัน... แต่ฉันรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น แววตาของเขาในวันนั้นมันต่างออกไป... มันทั้งตื่นเต้นและเปราะบางในเวลาเดียวกัน..."

ลายมือของเธอบนหน้ากระดาษนั้นหวัดเล็กน้อย เต็มไปด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่าน เธอจำได้ว่าตอนที่เขียนประโยคเหล่านี้ เธอต้องหยุดพักเพื่อซับน้ำตาแห่งความสุขไปด้วย

"...เขาไม่ได้คุกเข่า เขาไม่ได้มีแหวนเพชรวงโต เขาแค่จับมือฉันไว้แน่น มองลึกเข้ามาในตา แล้วพูดด้วยเสียงที่สั่นเทาว่า 'ผมไม่รู้ว่าชีวิตนักเขียนจนๆ คนหนึ่งจะมอบอะไรให้คุณได้บ้าง... แต่สิ่งหนึ่งที่ผมให้ได้ทั้งชีวิตและไม่มีวันหมด คือการเป็นบ้านที่ปลอดภัยให้คุณกลับมาเสมอ... แต่งงานกับผมนะเม'"

เมษาอ่านมาถึงตรงนี้... แล้วก็หยุดนิ่ง

เธออ่านข้อความท่อนสำคัญซ้ำไปซ้ำมา... ถ้อยคำที่ควรจะทำให้หัวใจของเธอพองโตและสั่นสะท้าน... แต่ตอนนี้ มันกลับไม่กระตุ้นความรู้สึกใดๆ ในตัวเธอเลย

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดและน่าสยดสยองที่สุดเท่าที่เคยเจอมา เธอ "รับรู้" ได้ถึงลำดับเหตุการณ์ เธอ "เข้าใจ" ความหมายของทุกตัวอักษรที่เธอเขียน แต่เธอ "ไม่รู้สึก" ถึงมันอีกต่อไปแล้ว

ความปีติยินดี, ความรัก, ความซาบซึ้ง... ความรู้สึกเหล่านั้นมันหายไปไหน?

เธอรู้สึกเหมือนกำลังอ่านเรื่องราวความรักของคนแปลกหน้าสองคน... เป็นนิยายรักที่เขียนได้ดีมากเรื่องหนึ่ง แต่ตัวละครที่ชื่อ "เมษา" ในไดอารี่เล่มนี้ ไม่ใช่เธออีกต่อไปแล้ว เธอคือผู้อ่าน... ไม่ใช่นางเอกของเรื่องอีกแล้ว

นี่คือความน่ากลัวในรูปแบบใหม่ที่เหนือกว่าการหลงลืม... มันคือการ "แปลกแยก" จากความทรงจำของตัวเอง เธอได้กลายเป็นผู้ชมที่นั่งมองชีวิตในอดีตฉายซ้ำไปมา แต่ไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมทางความรู้สึกได้อีก

กริ๊ก...

เสียงประตูที่เปิดเข้ามาทำลายภวังค์ อรเดินเข้ามาพร้อมกับถุงอาหารกลางวัน ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเมษานั่งนิ่งอยู่กลางห้อง แววตาของเธอว่างเปล่าจนน่าใจหาย

"เม... เป็นอะไรไป" อรถามด้วยความเป็นห่วง รีบวางของแล้วทรุดตัวลงข้างๆ

เมษาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพี่สาว ในดวงตาของเธอไม่มีน้ำตา แต่มีความสับสนและหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด "พี่อร..." เธอพูดเสียงแผ่วเบา "ผู้หญิงคนนี้... คนที่เขียนบันทึกเล่มนี้..."

เธอหยุดไปชั่วครู่ พยายามหาคำที่เหมาะสม แต่คำเหล่านั้นก็ไม่ยอมออกมา

"...เมไม่รู้จักเขาแล้ว"

อรขมวดคิ้ว "หมายความว่ายังไงเม ก็เมเป็นคนเขียนเองนะ"

"เมรู้... แต่เมไม่รู้สึก" เธอยกมือขึ้นทุบที่หน้าอกตัวเองเบาๆ "ตรงนี้... มันว่างเปล่าไปหมดเลยพี่อร มันเหมือน... เหมือนเมขโมยชีวิตของใครมาอ่าน"

คำพูดนั้นทำให้อรพูดอะไรไม่ออก เธอทำได้เพียงดึงน้องสาวเข้ามากอดไว้แน่น นี่คือการต่อสู้ในสมรภูมิที่มองไม่เห็นและไม่มีวันเอาชนะได้จริงๆ ศัตรูไม่ได้พรากแค่ความจำ แต่มันกำลังพราก "ความรู้สึก" ซึ่งเป็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ไปจากน้องสาวของเธอ

คืนนั้น หลังจากที่อรอยู่เป็นเพื่อนจนเธอหลับไปแล้ว เมษาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เธอเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ที่ตอนนี้มืดสนิท สะท้อนภาพของเธอออกมาอย่างชัดเจน

เธอมองผู้หญิงในเงาสะท้อน... ผู้หญิงที่มีใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเหม่อลอย และดูเหนื่อยล้าเกินกว่าจะต่อสู้กับสิ่งใดได้อีก

วินาทีนั้น... เธอก็เข้าใจความหมายของคำว่า "คนแปลกหน้า" ได้อย่างลึกซึ้งที่สุด

มันไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าในไดอารี่... แต่คือคนแปลกหน้าที่กำลังยืนจ้องมองเธอจากอีกฟากหนึ่งของกระจกบานนั้นด้วยเช่นกัน

โน้ตตัวสุดท้ายที่หายไป

หลังจากวันที่เธอได้กลายเป็นคนแปลกหน้าในไดอารี่ของตัวเอง เมษาก็แทบจะเลิกอ่านและเขียนโดยสิ้นเชิง กำแพงที่เต็มไปด้วยโพสต์อิทและรูปภาพกลายเป็นเพียงวอลเปเปอร์ที่ไร้ความหมาย เธอละทิ้งความพยายามที่จะต่อสู้ด้วย "ข้อมูล" และถอยกลับไปยังปราการด่านสุดท้ายที่เธอเหลืออยู่... ดนตรี

ไวโอลินกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอไปแล้วอย่างสมบูรณ์ เธอจะใช้เวลาเกือบทั้งวันในการบรรเลงบทเพลงต่างๆ ที่เธอพอจะจำได้ มันไม่ใช่การเล่นเพื่อความไพเราะ แต่เป็นการออกกำลังกายทางสมองและจิตวิญญาณอย่างหนักหน่วงที่สุด เธอเชื่อว่าตราบใดที่นิ้วของเธอยังจดจำตำแหน่งบนฟิงเกอร์บอร์ดได้ ตราบใดที่กล้ามเนื้อแขนยังจดจำน้ำหนักการลงคันชักได้... ตัวตนของเธอก็จะยังไม่สลายไปไหน

และบทเพลงที่สำคัญที่สุดก็คือ "ทำนองแห่งคำนึง" เธอจะเล่นมันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้งเสมอ... มันคือบทสวด คือการยืนยันตัวตน คือการกระซิบเรียกชื่อของคีตะผ่านท่วงทำนอง

แต่แล้ว... รอยร้าวก็เริ่มปรากฏขึ้นในปราการแห่งสุดท้ายของเธอ

มันเริ่มต้นจากเรื่องเล็กน้อย... โน้ตตัวหนึ่งในท่อนที่คุ้นเคยกลับเพี้ยนไปครึ่งเสียงอย่างไม่น่าให้อภัย เธอชะงักไปเล็กน้อย ขมวดคิ้วแล้วเริ่มเล่นท่อนนั้นใหม่อีกครั้ง "แค่เผลอไปหน่อย" เธอบอกตัวเอง

แต่ในวันต่อๆ มา ความผิดพลาดก็เริ่มเกิดขึ้นบ่อยขึ้น จังหวะที่เคยแม่นยำเริ่มแกว่งไกว การลากคันชักที่เคยนุ่มนวลเริ่มติดขัด กล้ามเนื้อที่เคยเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงดนตรี เริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งจากสมองของเธอ โรคร้ายที่เคยกัดกินแค่ความคิดและความทรงจำ บัดนี้ได้เริ่มคืบคลานเข้าสู่ร่างกาย... เข้าสู่เซลล์ประสาทที่เก็บงำท่วงทำนองของเธอไว้

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เมฆหมอกในหัวของเธอหนาทึบเป็นพิเศษ เธอรู้สึกสับสนและหลงทิศหลงทางมากกว่าทุกวัน เธอจึงหันไปหาที่พึ่งเดียวที่เหลืออยู่... ไวโอลิน

เธอยกมันขึ้นมาแนบไหล่ ตั้งใจจะใช้เสียงเพลงขับไล่ความมืดมิดในหัวออกไป เธอเริ่มบรรเลงเพลง "ทำนองแห่งคำนึง"

ท่อนแรกผ่านไปอย่างกระท่อนกระแท่น แต่ก็ยังคงเป็นรูปเป็นร่าง แต่เมื่อเข้าสู่ท่อนไคลแม็กซ์... ท่อนที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และต้องใช้เทคนิคขั้นสูงสุด...

...สมองของเธอก็ขาวโพลน

นิ้วมือของเธอแข็งทื่ออยู่บนสายไวโอลิน เธอลืม... เธอจำไม่ได้ว่าโน้ตตัวต่อไปคืออะไร!

ในหัวของเธอได้ยินเสียงเพลงนั้นอย่างชัดเจน... เธอรู้ว่ามันควรจะดังออกมาแบบไหน แต่ร่างกายกลับปฏิเสธที่จะสร้างเสียงนั้นขึ้นมา การเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณ สมอง และปลายนิ้ว... ได้ขาดสะบั้นลง

"ไม่สิ... ไม่" เธอเค้นเสียงออกมา พยายามบังคับให้นิ้วขยับ เธอเริ่มต้นท่อนนั้นใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง... แต่ละครั้งที่เล่น เสียงที่ออกมากลับบิดเบี้ยวและน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม มันคือบทเพลงที่งดงามที่สุดในชีวิตของเธอที่กำลังถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเธอเอง

ความคับข้องใจ ความโกรธ และความสิ้นหวัง ปะทุขึ้นมาพร้อมกันอย่างรุนแรง

"อ๊ากกกกกก!"

เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแผดดังออกมาจากลำคอของเธอ มันคือเสียงร้องของคนที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจริงๆ เธอปล่อยไวโอลินร่วงหล่นลงบนโซฟาอย่างไม่ใยดีราวกับมันเป็นของไร้ค่า

เครื่องดนตรีที่เคยเป็นเสียงของเธอ... เป็นโลกของเธอ... เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมเธอกับคีตะไว้... บัดนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งแปลกหน้าที่ทรยศเธอ

เย็นวันนั้นอรกลับมาที่ห้อง และพบเมษานั่งขดตัวอยู่บนพื้นในมุมมืดของห้อง เธอกอดเข่าตัวเองแน่น บนโซฟาข้างๆ มีไวโอลินนอนนิ่งอยู่เงียบๆ

"เม... ไม่สบายหรือเปล่า" อรเดินเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง

เมษาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพี่สาว ดวงตาของเธอแห้งผากและว่างเปล่า เธอมองเลยไปที่ไวโอลินด้วยสายตาของคนที่ถูกหักหลังอย่างแสนสาหัส

"พี่อร..." เธอพูดด้วยเสียงที่แหบพร่าและไร้ความรู้สึก

"...มันไม่ยอมคุยกับเมแล้ว"

ความเงียบที่โรยตัวลงมาในห้องหลังจากประโยคนั้น มันหนักอึ้งและหนาวเหน็บกว่าครั้งไหนๆ

เพราะมันคือความเงียบที่สมบูรณ์... ความเงียบที่แม้แต่เสียงดนตรีก็ไม่สามารถขับไล่ได้อีกต่อไปแล้ว

ภาพสะท้อนที่ไม่คุ้นเคย

เมื่อเสียงดนตรีได้เงียบลง โลกของเมษาก็เหลือเพียงความว่างเปล่าอย่างแท้จริง เธอไม่ได้แตะต้องไวโ "ลินอีกเลย มันถูกวางทิ้งไว้บนโซฟาจนฝุ่นจับบางๆ กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความพ่ายแพ้ที่ตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่นของเธอเอง

การสูญเสียภาษาสุดท้ายไปได้เร่งกระบวนการเสื่อมถอยของเธอให้เร็วขึ้นอย่างน่าใจหาย อาการของโรคไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความทรงจำหรือทักษะอีกต่อไป แต่มันเริ่มกัดกินเข้าไปถึงแก่นกลางของบุคลิกภาพ... ตัวตนที่เคยเป็น "เมษา" กำลังถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่นอย่างช้าๆ

เธอเริ่มมีอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรงและไร้เหตุผล วันหนึ่งอรนำอาหารเย็นที่เธอชอบมาให้ แต่เมษากลับปัดจานนั้นทิ้งลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด

"เมไม่อยากกิน!" เธอตะคอกใส่พี่สาวด้วยแววตาขุ่นขวาง "ทำไมต้องบังคับกันด้วย!"

อรตกใจจนพูดไม่ออก เธอไม่เคยเห็นน้องสาวในมุมนี้มาก่อน เมษาคนเดิมเป็นคนใจเย็นและอ่อนโยนเสมอ แต่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี้กลับดูเหมือนคนแปลกหน้า "พี่... พี่แค่เห็นว่าเมชอบ..."

แต่เมษาก็ไม่ฟัง เธอเดินกระทืบเท้าเข้าห้องนอนไป ปิดประตูเสียงดังปัง! ทิ้งให้อรยืนนิ่งอยู่กลางห้องด้วยความสับสนและเจ็บปวด สิบนาทีต่อมา เมษาก็เดินออกมาจากห้องด้วยท่าทีปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอมองจานที่แตกกระจายบนพื้นแล้วขมวดคิ้ว "ใครทำจานตกเหรอพี่อร"

วินาทีนั้น อรก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเธอกำลังสูญเสียน้องสาวไปจริงๆ ไม่ใช่แค่ความทรงจำของเธอ แต่คือ "ตัวตน" ของเธอทั้งหมด

บางครั้ง เมษาก็จะเข้าสู่ภาวะ "หลงทาง" ในพื้นที่ที่คุ้นเคยที่สุด เธออาจจะยืนนิ่งอยู่กลางห้องครัวเป็นเวลานาน ดวงตาเหม่อลอยมองไปรอบๆ ราวกับเพิ่งเคยเห็นสถานที่นี้เป็นครั้งแรก หรือบางทีเธอก็จะเดินไปหยุดที่หน้าประตู แล้วถามอรด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า "ทางออกไปทางไหน"

แต่ละครั้งที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น มันเหมือนมีดที่มองไม่เห็นกรีดลงบนหัวใจของอรซ้ำแล้วซ้ำเล่า

กำแพงที่เคยเต็มไปด้วยโพสต์อิทถูกรื้อออกไปแล้วโดยฝีมือของอร เพราะมันไม่ได้ช่วยอะไรอีกต่อไป มีแต่จะยิ่งทำให้เมสาสับสน ห้องจึงกลับมาดูโล่งกว้างและเย็นชาอีกครั้ง เหลือเพียงรูปถ่ายขนาดใหญ่ของเมษาและคีตะที่ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม เป็นเหมือนสิ่งเดียวที่ย้ำเตือนว่าครั้งหนึ่งห้องนี้เคยเต็มไปด้วยความรัก

วันหนึ่งขณะที่อรไม่อยู่ เมษาตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับบนโซฟา เธอรู้สึกสับสนมึนงง ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าหรือเย็น เธอเดินอย่างไร้จุดหมายไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า

เมื่อหยดน้ำเย็นๆ สัมผัสใบหน้า ความรู้สึกก็กลับมาชัดเจนขึ้นเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองกระจกบานใหญ่ที่แขวนอยู่เหนืออ่างล้างหน้า...

...และเธอก็นิ่งค้างไป

ในกระจกนั้น มีเงาสะท้อนของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจ้องมองเธอกลับมา ผู้หญิงคนนั้นดูเหนื่อยล้าอย่างแสนสาหัส ดวงตาของเธอกลวงโบ๋และไร้ประกาย ขอบตาคล้ำลึกเหมือนไม่ได้นอนหลับมานานนับปี ริมฝีปากซีดเซียว และมีริ้วรอยแห่งความทุกข์ปรากฏอยู่จางๆ ที่หางตา

เมษาจ้องมองภาพนั้นนิ่งนาน... นานจนเหมือนเวลาหยุดหมุน

เธอไม่ได้รู้สึกตกใจหรือหวาดกลัว... แต่เธอรู้สึก "สงสัย"

เธอค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า... ผู้หญิงในกระจกก็ยกมือขวาขึ้นมาเช่นกัน เธอเอียงคอไปทางซ้าย... ผู้หญิงในกระจกก็เอียงคอตาม

มีความคุ้นเคยบางอย่างบนใบหน้านั้น... แต่เธอกลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ที่ไหน

เธอคือใครกันนะ?

คำถามนั้นดังก้องขึ้นในความเงียบของสมองเธอ มันไม่ใช่คำถามเชิงปรัชญา แต่เป็นคำถามที่ตรงไปตรงมาที่สุด... เธอไม่รู้จักผู้หญิงที่กำลังจ้องมองเธออยู่จริงๆ

ความรู้สึกแปลกแยกจากไดอารี่ จากไวโอลิน... เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกแปลกแยกจากร่างกายและใบหน้าของตัวเองในตอนนี้ มันคือการหลุดลอยออกจากตัวตนขั้นสูงสุด ราวกับวิญญาณของเธอได้ลอยออกมาจากร่าง แล้วหันกลับมามองเปลือกนอกที่เคยอาศัยอยู่ด้วยความไม่คุ้นเคย

เธอยังคงจ้องมองภาพสะท้อนนั้นต่อไป จนกระทั่งเสียงไขกุญแจที่หน้าประตูดังขึ้น ดึงเธอออกจากภวังค์

อรเดินเข้ามาพร้อมกับของใช้จำเป็นสองสามอย่าง "เม พี่กลับมาแล้วนะ"

เมษาละสายตาจากกระจก หันไปมองพี่สาวที่เดินเข้ามาในห้องน้ำ "พี่อร..." เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่ทำให้อรต้องหยุดชะงัก

"เมื่อกี้... มีใครอยู่ในห้องน้ำกับเมก็ไม่รู้"

ชายผู้นิรนาม

หลังจากวันที่เมษาจำเงาสะท้อนของตัวเองไม่ได้ สภาพของเธอก็ดูเหมือนจะคงที่... แต่มันเป็นความคงที่บนความว่างเปล่า อารมณ์เกรี้ยวกราดเกรี้ยวกราดได้จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความสับสนอันเงียบสงบ เธอกลายเป็นคนนิ่งเฉย ใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง หรือมองลวดลายบนผนังอย่างไร้จุดหมาย เธอกลายเป็นเหมือนตุ๊กตาแก้วที่งดงามแต่เปราะบาง ภายในนั้นกลวงโบ๋และไม่มีชีวิตชีวาใดๆ

อรได้ลาออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลน้องสาวอย่างเต็มตัว เธอตกอยู่ในวงจรของความเหนื่อยล้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด... ป้อนข้าว อาบน้ำ พาเข้านอน และตอบคำถามเดิมๆ ที่เมษาจะถามซ้ำไปซ้ำมาทุกชั่วโมง "ตอนนี้กี่โมงแล้ว" "เราอยู่ที่ไหน" "เมื่อไหร่จะได้กลับบ้าน" ทั้งๆ ที่เธอก็นั่งอยู่ในบ้านของตัวเอง

มันเป็นบ่ายวันหนึ่งที่เงียบสงบเป็นพิเศษ เมษานั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรด พลิกหน้านิตยสารเก่าๆ ไปมาอย่างเชื่องช้าไม่ได้ให้ความสนใจกับเนื้อหาข้างในนัก ส่วนอรก็กำลังทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่าน เธอหยิบผ้าผืนเล็กขึ้นมาเพื่อปัดฝุ่นตามชั้นวางของและกรอบรูปต่างๆ

แล้วมือของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่กรอบรูปขนาดใหญ่ที่สุดในห้อง... รูปที่เมษาและคีตะถ่ายด้วยกันที่ทะเล... รูปที่ทั้งสองคนยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่สุดในโลก มันเป็นสิ่งของชิ้นสุดท้ายในห้องนั่งเล่นที่ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำนั้นอย่างชัดเจนที่สุด

อรค่อยๆ ประคองกรอบรูปนั้นลงมาอย่างทะนุถนอม เธอบรรจงเช็ดฝุ่นบนกระจกออกเบาๆ ขณะที่มองดูรอยยิ้มของคีตะ หัวใจของเธอก็บีบตัวด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง

"พี่อร..."

เสียงเรียกที่แผ่วเบาของเมษาทำให้อรหลุดจากภวังค์ เธอหันไปมองน้องสาวที่ตอนนี้วางนิตยสารลงแล้ว และกำลังจ้องมองมาที่รูปในมือของเธอด้วยแววตาที่สงสัยใคร่รู้เหมือนเด็กๆ

อรยิ้มบางๆ "จ้ะเม... ว่าไง" เธอคิดว่าน้องสาวอาจจะนึกอะไรบางอย่างออก

เมษาเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาของเธอใสซื่อและปราศจากอารมณ์ซับซ้อนใดๆ เธอยกนิ้วชี้มาที่รูปภาพนั้นอย่างช้าๆ

"...ผู้ชายคนนี้... คือใครเหรอ"

คำถามนั้น... มันไม่ได้ดัง แต่กลับเหมือนเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องอยู่ในหัวของอร

ผ้าในมือของเธอร่วงหล่นลงสู่พื้น เวลาเหมือนจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ โลกทั้งใบเงียบงันลงจนได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นรัวอยู่ในอก เธอคิดว่าเธอคงหูฝาดไป เธอจ้องมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเมษา สลับกับใบหน้าที่เปี่ยมสุขของคีตะในรูป... แล้วความจริงที่โหดร้ายที่สุดก็กระแทกเข้าใส่เธออย่างจัง

มันมาถึงแล้ว... วันที่เธอภาวนามาตลอดว่าจะไม่มีวันมาถึง

คีตะ... ได้หายไปจากโลกของเมษาแล้วโดยสมบูรณ์

กำแพงน้ำตาที่อรพยายามก่อขึ้นมาอย่างเข้มแข็งตลอดหลายเดือนพังทลายลงในพริบตา ภาพตรงหน้าของเธอพร่าเลือนไปหมด เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ จะให้เธอตอบคำถามนั้นได้อย่างไร? จะให้เธออธิบายจักรวาลแห่งความรัก ความผูกพัน และความสูญเสียทั้งหมดให้กับคนที่ไม่เข้าใจความหมายของมันอีกต่อไปแล้วได้อย่างไร

เมษาเห็นพี่สาวของเธอร้องไห้ก็มีท่าทีสับสนและตกใจ เธอขยับเข้ามาใกล้อย่างไม่แน่ใจ เอื้อมมือไปแตะแขนอรเบาๆ

"พี่อร... ร้องไห้ทำไม" เธอถามด้วยความเป็นห่วงอย่างใสซื่อ ก่อนจะเหลือบมองไปที่รูปภาพอีกครั้ง "...เขา... เขาทำอะไรให้พี่เสียใจเหรอ"

คำถามนั้นคือมีดเล่มสุดท้ายที่กรีดลงบนหัวใจของอรจนแหลกละเอียด

อรไม่ได้ตอบอะไรอีกต่อไป เธอทิ้งกรอบรูปนั้นลงบนโซฟาอย่างไม่สนใจ แล้วดึงร่างของน้องสาวที่ยังคงไม่เข้าใจอะไรเลยเข้ามากอดไว้แน่น... สะอื้นไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้นได้อีกต่อไป

เธอไม่ได้ร้องไห้ให้เมษา... ไม่ได้ร้องไห้ให้คีตะ...

แต่เธอร้องไห้ให้กับเรื่องราวความรักที่แสนงดงามของเขาทั้งสอง... เรื่องราวที่บัดนี้ได้ตายจากไปแล้วอย่างแท้จริง เพราะพยานคนสุดท้ายของเรื่องราวนี้... ไม่ได้จดจำอะไรเกี่ยวกับมันได้อีกต่อไปแล้ว

อรได้แต่กอดน้องสาวไว้แน่นพลางมองข้ามไหล่ของเธอไปยังรูปถ่ายของชายหนุ่มนิรนามผู้มีรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดในโลก... ท่ามกลางเสียงสะอื้นของเธอที่ดังไปทั่วพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำที่บัดนี้... ได้ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์

หยดน้ำตาที่ไร้ความหมาย

สามปีต่อมา...

กลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆ และเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คือฉากหลังของชีวิตในแต่ละวัน ที่สถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแห่งหนึ่งริมชานเมือง เมษานั่งอยู่บนรถเข็นริมหน้าต่างบานใหญ่ ทอดสายตาไปยังสวนหย่อมที่ถูกตัดแต่งอย่างสวยงามเบื้องล่าง เส้นผมที่เคยดกดำยาวสลวยของเธอถูกตัดสั้นเพื่อความสะดวกในการดูแล ดวงตาของเธอว่างเปล่า... แต่ก็สงบนิ่ง มันไม่ใช่ความสงบของผู้ที่ยอมรับชะตากรรมได้ แต่เป็นความสงบของหน้าที่ว่างเปล่าที่ไม่มีเรื่องราวใดๆ เหลืออยู่อีกต่อไป

เธอไม่รู้จักผู้หญิงที่ชื่อ "เมษา" เธอไม่รู้จักเครื่องดนตรีที่เรียกว่าไวโอลิน และเธอ... ก็ไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อคีตะ

อรมาเยี่ยมเธอทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ร่องรอยของกาลเวลาและความเหนื่อยล้าปรากฏชัดบนใบหน้าของเธอมากกว่าแต่ก่อน แต่แววตาที่มองน้องสาวนั้นยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

"เม... พี่มาแล้วนะ" อรเอ่ยทักทายอย่างนุ่มนวลเหมือนทุกครั้ง เธอรู้ดีว่าจะไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เธอลูบผมของน้องสาวเบาๆ แล้วจัดผ้าห่มบนตักให้เข้าที่ การกระทำเหล่านี้ได้กลายเป็นกิจวัตรแห่งความรักฝ่ายเดียวที่เธอทำโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ

วันนี้อรไม่ได้พูดคุยหรือเล่าเรื่องราวอะไร เธอนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ รถเข็นของเมษาอย่างเงียบๆ หลังจากนั่งมองใบหน้าที่สงบนิ่งของน้องสาวไปพักใหญ่ เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา... เลื่อนหาไฟล์เสียงไฟล์หนึ่งที่เธอเก็บมันไว้อย่างดีที่สุด

แล้วเธอก็กดเล่น...

เสียง "ทำนองแห่งคำนึง" ที่เคยบรรเลงด้วยไวโอลินของเมษาเอง ดังขึ้นเบาๆ จากลำโพงเล็กๆ ของโทรศัพท์ มันคือไฟล์เสียงที่เมษาเคยอัดไว้ในวันที่สมองของเธอยังดีอยู่... เสียงของมันยังคงชัดเจนและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

ท่วงทำนองที่คุ้นเคยลอยอวลไปทั่วห้องที่เงียบสงบ...

เมษายังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ผีเสื้อตัวหนึ่งซึ่งบินวนเวียนอยู่เหนือพุ่มดอกไม้ในสวน... ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ที่บ่งบอกว่าเธอจดจำเสียงเพลงนี้ได้

อรไม่ได้คาดหวังอะไร เธอทำเพียงหลับตาลง ปล่อยให้เสียงดนตรีพาเธอย้อนกลับไปในวันวาน... ภาพของเมษาและคีตะที่หัวเราะด้วยกันในอพาร์ตเมนต์ฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำของเธอ

และขณะที่บทเพลงดำเนินมาถึงท่อนไคลแม็กซ์... ท่อนที่โหยหวนและงดงามที่สุด...

...จู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลรินลงมาจากหางตาข้างขวาของเมษาอย่างช้าๆ

มันเป็นเพียงหยดเดียว... ไหลอาบลงบนแก้มที่ซีดเซียวของเธออย่างเงียบงัน เธอไม่ได้สะอื้น ไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดใดๆ ดวงตาของเธอยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิมทุกประการ

เมษาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงร้องไห้... สมองของเธอว่างเปล่าจากความทรงจำเกี่ยวกับบทเพลงนี้โดยสิ้นเชิง เธอจำใบหน้าของชายผู้เป็นแรงบันดาลใจไม่ได้ จำความรักที่แสนหวานและขมขื่นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

แต่ลึกลงไป... ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตวิญญาณ... ในเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย... มันยังคง "จดจำ" ความรู้สึกนั้นได้ ความรักและความเจ็บปวดนั้นยิ่งใหญ่เกินไป มันได้ฝังรากลึกลงไปยิ่งกว่าความทรงจำในสมอง... กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเธอไปแล้วอย่างสมบูรณ์

สมองของเธอลืมไปแล้ว... แต่หัวใจของเธอ... ยังคงร่ำไห้

อรลืมตาขึ้นมาและเห็นภาพนั้นพอดี หัวใจของเธอเหมือนถูกบีบจนแหลกละเอียด เธอรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเอง ก่อนจะเอื้อมนิ้วไปเช็ดหยดน้ำตาบนแก้มของน้องสาวอย่างแผ่วเบาที่สุด

มันคือหยดน้ำตาที่ไร้ที่มา... หยดน้ำตาที่ไร้ซึ่งความหมายในความรับรู้... แต่มันคือหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ยืนยันว่าเรื่องราวความรักของเมษาและคีตะนั้นเคยเกิดขึ้นจริง และมันจะยังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ... ในห้วงคำนึงที่จมดิ่งและไม่มีวันถูกค้นพบได้อีก

...ตลอดกาล...

- อวสาน -