จินตนาการแห่งผู้กล้า

พันธมิตรที่ไม่คาดคิด

หลังจากการต่อสู้กับครอเนียสที่ปราสาทร้าง เดฟ อาริส และคาลาดอนเดินทางกลับมายังหมู่บ้านเพื่อพักฟื้นและวางแผนสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป แม้ว่าครอเนียสจะหายตัวไป แต่ความรู้สึกไม่สบายใจในจิตใจของเดฟยังคงคงอยู่ เขารู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบสิ้น

ระหว่างการพักที่หมู่บ้าน เดฟเริ่มฝึกฝนพลังแห่งจินตนาการของเขาอย่างต่อเนื่อง อาริสและคาลาดอนช่วยเขาทำความเข้าใจวิธีใช้พลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่พลังนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้

วันหนึ่ง ขณะที่เดฟกำลังนั่งทำสมาธิเพื่อปรับจิตใจของเขา จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากประตูห้องของเขา “เดฟ! มีคนมาหาเจ้า” อาริสเรียกด้วยเสียงตื่นเต้น

เดฟรีบลุกขึ้นและตามอาริสออกไปที่หน้าหมู่บ้าน ที่นั่นมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาไม่เคยพบมาก่อนยืนรออยู่ หัวหน้ากลุ่มนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่ดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม เขาสวมชุดเกราะเงินและถือดาบยาวติดตัว

“ข้าคือวาลันซ์” ชายคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแกร่ง “ข้าคือหัวหน้ากองพันแห่งอาณาจักรลิเมนด้า พวกเรามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้าในการต่อสู้กับครอเนียส”

เดฟมองวาลันซ์ด้วยความสงสัย “ทำไมนายถึงอยากช่วยฉัน? ฉันไม่เคยรู้จักพวกนายมาก่อน”

วาลันซ์ยิ้มเล็กน้อย “เราอาจไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ข้าและทหารของข้ารู้เกี่ยวกับเจ้าและพลังของเจ้ามากกว่าที่เจ้าคิด พวกเราต้องการกำจัดครอเนียสเช่นกัน และข้าเชื่อว่าพลังของเจ้าคือกุญแจสำคัญในการทำเช่นนั้น”

คาลาดอนที่ยืนอยู่ข้างเดฟมองไปที่วาลันซ์ด้วยสายตาที่คมชัด “แล้วเจ้าจะทำยังไงให้เรามั่นใจว่าเจ้ามาด้วยความตั้งใจดี?”

วาลันซ์ยกมือขึ้น “ข้าเข้าใจถึงความสงสัยของเจ้า แต่ครอเนียสเป็นศัตรูของทุกอาณาจักร ไม่ใช่แค่ของพวกเจ้าเท่านั้น หากเราร่วมมือกัน เราจะมีโอกาสกำจัดเขาได้มากขึ้น”

หลังจากการพูดคุย เดฟและพวกพ้องตัดสินใจร่วมมือกับวาลันซ์และกองพันของเขา แม้ว่าจะมีความกังวล แต่เดฟรู้ว่าพวกเขาต้องการพันธมิตรเพื่อที่จะเอาชนะครอเนียสได้

วาลันซ์พาทุกคนไปยังค่ายของกองพันลิเมนด้าที่ตั้งอยู่ในป่าห่างไกลจากหมู่บ้าน เดฟประหลาดใจเมื่อเห็นกองทัพที่แข็งแกร่งพร้อมด้วยทหารที่มีประสบการณ์การต่อสู้กับกองทัพมืดของครอเนียส

ในคืนนั้น ทั้งหมดได้นั่งล้อมวงที่ค่ายไฟ วาลันซ์เริ่มอธิบายแผนการต่อสู้ที่เขาและกองทัพวางไว้ “เราพบว่า ครอเนียสกำลังรวบรวมพลังจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในอาณาจักรนี้ เขาใช้พลังนั้นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของกองทัพมืดของเขา และหากเราปล่อยให้มันดำเนินต่อไป อีกไม่นานเขาจะกลายเป็นศัตรูที่ไม่มีใครหยุดได้”

“สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ที่ไหน?” เดฟถามด้วยความอยากรู้

วาลันซ์ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “มันคือหุบเขาเอนเซียร์ หุบเขานั้นเป็นสถานที่ที่ถูกลืมไปนาน แต่มีพลังโบราณที่ครอเนียสใช้ปลุกขึ้นมา เราจะต้องไปที่นั่นและทำลายมันก่อนที่พลังจะตกไปอยู่ในมือเขา”

อาริสขมวดคิ้ว “แต่หุบเขาเอนเซียร์นั้นเป็นสถานที่อันตราย และไม่มีใครเคยรอดกลับมา”

“นั่นคือเหตุผลที่เราต้องร่วมมือกัน” วาลันซ์กล่าวด้วยความมั่นใจ “ข้าเชื่อว่าเรามีโอกาสที่จะเอาชนะเขาได้ หากเราทำงานร่วมกัน”

ในเช้าวันต่อมา เดฟ อาริส คาลาดอน และกองพันลิเมนด้าเริ่มเดินทางไปยังหุบเขาเอนเซียร์ ระหว่างทาง เดฟได้ทำความรู้จักกับทหารหลายคน หนึ่งในนั้นคือนาอิลา หญิงสาวผู้เป็นนักรบธนูฝีมือเยี่ยม เธอเป็นคนเงียบขรึมแต่มีฝีมือในการรบที่น่าทึ่ง

นาอิลาเริ่มเล่าเรื่องราวของเธอ “ข้าสูญเสียครอบครัวให้กับกองทัพมืดของครอเนียส ข้าจึงสาบานว่าจะไม่ยอมให้ใครต้องสูญเสียเหมือนข้าอีก”

เดฟฟังด้วยความเข้าใจ “ฉันก็เคยสูญเสียพวกพ้องไปเหมือนกัน และนั่นเป็นเหตุผลที่ฉันต้องทำทุกอย่างเพื่อหยุดครอเนียส”

นาอิลาเหลือบมองเดฟ “เจ้ามีพลังที่ไม่เหมือนใคร แต่พลังนั้นก็อันตรายหากใช้ผิด ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจสิ่งนั้น”

เดฟพยักหน้า “ฉันรู้ ฉันยังคงเรียนรู้วิธีใช้พลังนี้ให้ถูกต้อง”

เมื่อพวกเขามาถึงหุบเขาเอนเซียร์ บรรยากาศที่นั่นเต็มไปด้วยความเงียบและความมืดมน พลังงานบางอย่างที่ลึกลับปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทุกคนเตรียมอาวุธพร้อมเผชิญหน้ากับสิ่งที่รอพวกเขาอยู่

เดฟมองหุบเขากว้างใหญ่เบื้องหน้าและรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา เขารู้ดีว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นบททดสอบที่สำคัญ ไม่ใช่เพียงแค่สำหรับเขา แต่สำหรับทุกคนที่มาที่นี่